โมเดล CEDM (Creative Economy Data Model) กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย
องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA กรมทรัพย์สินทางปัญญา (DIP) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการประชุมว่าด้วยแบบจำลองข้อมูลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy Data Model - CEDM) ระหว่างวันที่ 19 - 20 มีนาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาแบบจำลอง CEDM และการนำไปประยุกต์ใช้ในระดับประเทศและภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับทุกภาคส่วนในอนาคต
WIPO ได้เริ่มพัฒนาและทดลองใช้ CEDM ในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2024 โดยประเทศที่เข้าร่วมโครงการแล้ว ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อาเซอร์ไบจาน ตรินิแดดและโตเบโก และไทย นอกจากนี้ ยังมีหลายประเทศที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าร่วมโครงการในปี 2025 เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คีร์กีซสถาน อินโดนีเซีย ไนจีเรีย ชิลี คอสตาริกา จีน อินเดีย ตุรกี โคลอมเบีย อุรุกวัย แอฟริกาใต้ โกตดิวัวร์ เคนยา ฟินแลนด์ อุซเบกิสถาน ซาอุดีอาระเบีย และคาซัคสถาน ทั้งนี้ WIPO กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับอาเซียน เพื่อขยายการใช้แบบจำลองดังกล่าวในระดับภูมิภาค
โครงสร้างของแบบจำลอง CEDM
CEDM มีโครงสร้างหลักสองส่วน ได้แก่ การวิเคราะห์ภูมิทัศน์ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Landscape Analysis) ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลระดับประเทศจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ และดัชนีระบบนิเวศสร้างสรรค์ (Creative Ecosystem Index) ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลในระดับภูมิภาค โดยอาจต้องมีการเก็บข้อมูลปฐมภูมิเพิ่มเติมผ่านการสำรวจและการทำงานร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติของแต่ละประเทศ
ระบบนิเวศด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการวัดผล
การวัดระบบนิเวศด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์แบ่งออกเป็นสองด้านหลัก ได้แก่ การวัดปัจจัยนำเข้า (Input) และการวัดผลผลิต (Output) ปัจจัยนำเข้าประกอบด้วยปัจจัยด้านสถาบัน เช่น สภาพแวดล้อมทางกฎหมายและสถาบัน คุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรม และเครือข่ายสถาบัน รวมถึงปัจจัยด้านทรัพยากร เช่น ความรู้และทักษะ โครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และอุปสงค์ทางเศรษฐกิจ ขณะที่ผลผลิตจะเน้นการวัดมูลค่าที่เกิดจากอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศ อัตราการจ้างงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา
การพัฒนาตัวชี้วัดและดัชนีชี้วัด
ในการประชุม ผู้แทนจาก WIPO เปิดเผยว่ามีการพัฒนาตัวชี้วัดกว่า 90 รายการสำหรับ CEDM อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้จริงในแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับความพร้อมของข้อมูลและความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล โดยอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวชี้วัดบางรายการให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาดัชนีปัจจัยนำเข้า (Input Index) ซึ่งแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ ดัชนีที่รวมค่าปัจจัยนำเข้า (Additive Input Index) และดัชนีที่คูณค่าปัจจัยนำเข้า (Multiplicative Input Index) เพื่อช่วยให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างภูมิภาคภายในประเทศได้
ก้าวต่อไปของประเทศไทยกับ CEDM
ที่ประชุมมีข้อเสนอให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับหน่วยงานภายในประเทศและ WIPO ในการพัฒนาและจัดทำดัชนี CEDM ต่อไป โดยในระยะเบื้องต้น CEA จะทำการสำรวจข้อมูลที่มีอยู่เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ภูมิทัศน์ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และวางแผนเก็บข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการพัฒนาดัชนีระบบนิเวศสร้างสรรค์ (Creative Ecosystem Index) การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือเชิงนโยบายสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยให้แต่ละประเทศสามารถวัดผลและพัฒนาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากประเทศไทยสามารถนำโมเดล Creative Economy Data Model (CEDM) มาปรับใช้ใช้เชิงรุกได้ จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยสู่ระดับภูมิภาค ด้วยการใช้ข้อมูลขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ประเทศไทยจะสามารถออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากล ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับทุกภาคส่วนในอนาคต
Posted in news on เม.ย. 09, 2025