Research & Report

10 ปีเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ เทศกาลสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนแปลงเมือง

ก้าวเข้าสู่การเฉลิมฉลองพลังสร้างสรรค์จากท้องถิ่นเป็นปีที่ 10 แล้ว สำหรับ “เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567” หรือ “Chiang Mai Design Week 2024” (CMDW2024) ซึ่งจัดโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ระหว่างวันที่ 7 - 15 ธันวาคม 2567 ณ ย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ ‘กลางเวียง (อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ - ล่ามช้าง)’ และย่าน ‘ช้างม่อย - ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เชียงใหม่ (TCDC เชียงใหม่) - ท่าแพ’ และพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ เช่น หางดง, สันกำแพง ฯลฯ เทศกาลฯ เป็นเวทีสำคัญให้นักสร้างสรรค์ นักออกแบบ ศิลปิน และช่างฝีมือท้องถิ่น ได้มีพื้นที่ ‘ปล่อยของ’ นำเสนอผลงาน และแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อพัฒนาทักษะและนวัตกรรมสร้างสรรค์ในวงกว้าง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ นักออกแบบ กับนักลงทุนให้ได้ทำงานร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนทักษะและสร้างโอกาสการเชื่อมต่อเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ มุ่งสู่เศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการจัดงานตั้งแต่ปี 2014 - 2023 “เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่” หรือ “Chiang Mai Design Week” ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสร้างพลวัตที่หลากหลายในการผลักดันให้ ‘เชียงใหม่’ ก้าวสู่การเป็น City Branding ในฐานะเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์ โดยเชียงใหม่ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (UCCN - Chiang Mai City of Crafts and Folk Art) และศูนย์กลางการออกแบบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สะท้อนพลังของการออกแบบที่ขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กลุ่มคนคืนถิ่น (Homecoming) ให้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง มาทบทวนกันว่าตลอดการจัดงานที่ผ่านมา เทศกาลฯ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นไปแล้วบ้าง

เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ จากจุดเริ่มต้นสู่เวทีนานาชาติ

เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่เริ่มต้นจัดเป็นครั้งแรกในปี 2014 ด้วยความร่วมมือระหว่างศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand Creative & Design Center: TCDC) และหน่วยงานท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการแสดงอัตลักษณ์ของเชียงใหม่ผ่านการผสานศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับแนวคิดร่วมสมัย ต่อมาในช่วงปี 2015 - 2016 เทศกาลฯ ได้ขยายขอบเขตด้วยการริเริ่มการจัดทำตลาดสร้างสรรค์ (Creative Market) ควบคู่กับการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการและเวิร์กช็อป เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างนักออกแบบกับผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นรูปแบบการจัดเทศกาลสร้างสรรค์ที่เทศกาลฯ พยายามจะผลักดันให้เกิดการสร้างเครือข่ายของความคิดสร้างสรรค์ที่จับต้องได้และต้องขายได้

ต่อมาในช่วงปี 2017 - 2019 เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ได้พัฒนาสู่เวทีระดับชาติและนานาชาติ อย่างเต็มรูปแบบ โดยดึงดูดนักออกแบบและผู้สนใจจากทั่วประเทศและภูมิภาคเอเชีย เทศกาลฯ จัดแสดงนิทรรศการจากนักออกแบบชื่อดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับงานออกแบบสร้างสรรค์ ทั้งยังมีความร่วมมือระหว่างช่างฝีมือท้องถิ่นกับนักออกแบบร่วมสมัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผสานภูมิปัญญาเข้ากับแนวคิดการออกแบบสมัยใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยุคใหม่

จนกระทั่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 (ปี 2020 - 2021) เทศกาลฯ ปรับตัวสู่การส่งเสริมแนวคิดสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน โดยเน้นการออกแบบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และริเริ่มโครงการ Homecoming Creator ที่พานักออกแบบและนักสร้างสรรค์คืนถิ่น กลับมาสร้างสรรค์ผลงานในบ้านเกิด จนเกิดเป็นคอมมิวนิตี้หลากหลายสาขา เช่น นิทรรศการ En.Light.En ภายใต้คอนเซ็ปต์ Homecoming โครงการที่รวบรวมนักออกแบบและศิลปินที่มีความผูกพันกับจังหวัดเชียงใหม่หรือพื้นที่ภาคเหนือ ให้กลับมาทำกิจกรรมสร้างสรรค์ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนในพื้นที่ย่านช้างม่อย และพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา, เทศกาลดนตรีและศิลปะการแสดงข้างถนนนานาชาติ ณ ชุมชนล่ามช้าง ซึ่งเป็นการยกระดับพื้นที่ชุมชน ให้กลายเป็นศูนย์รวมของการแสดงดนตรีและศิลปะการแสดงข้างถนน และเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวทางดนตรี (Music Tourism) ของเชียงใหม่, เทศกาลกาแฟถิ่นไทย สำหรับกลุ่มคนรักกาแฟที่ส่งเสริมความยั่งยืนของห่วงโซ่อุตสาหกรรมกาแฟ และ LABB.fest งานแสดงดนตรีสดที่ผสมผสานระหว่าง Music Showcase กับ Visual Art ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมด้านดนตรีในระดับนานาชาติ ฯลฯ 

และตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ได้ขับเคลื่อนการจัดเทศกาลฯ ให้สอดคล้องกับการที่เชียงใหม่ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (UCCN - Chiang Mai City of Crafts and Folk Art) มาตั้งแต่ปี 2017 มากยิ่งขึ้น โดยมีส่วนสำคัญในการผลักดันความร่วมมือระหว่างนักสร้างสรรค์กับองค์กรระดับนานาชาติ เช่น กิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัสเซีย ได้แก่ แซนด์บ็อกซ์จากมอสโก: วันภาพยนตร์และแอนิเมชัน กิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กโดยใช้สื่อภาพยนตร์และแอนิเมชันเจาะลึกลงไปในจินตนาการเพื่อสร้างตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว, การบรรยายและมาสเตอร์คลาสจากหนึ่งในผู้นําของอุตสาหกรรมแอนิเมชันรัสเซีย, การจัดเทศกาลและคอนเสิร์ตในโลกเมตาเวิร์ส: ระหว่างโรคระบาดและหลังโรคระบาด ซึ่งเป็นการบรรยายจากศิลปิน VR (Virtual Reality) ชาวรัสเซีย รวมถึงผู้อำนวยการ โปรดิวเซอร์หลากหลายสาขา ผู้ดูแลเทศกาล ฯลฯ 

ขณะเดียวกันเทศกาลฯ ยังคงรักษาความเชื่อมโยงกับรากเหง้าท้องถิ่นผ่านการริเริ่มโครงการ Creative Village ที่เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการผลิตและจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ในพื้นที่ต่าง ๆ ของเมือง เช่น กาดกองเก่าล่ามช้าง ตลาดชุมชนที่ได้นำเสนอสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม และบริการท้องถิ่น โดยคนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงร่วมมือร่วมใจกันจัดตั้งขึ้น, หมู่บ้านหัตถกรรมต้นเปา ที่นำเสนอความเป็นหมู่บ้านอัตลักษณ์ชุมชนหัตถกรรม และการเป็นหมู่บ้านงานอาร์ตที่ได้รับความร่วมมือจากนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นและนักสร้างสรรค์จากประเทศรัสเซีย สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นการเติบโตของเทศกาลฯ ที่จับมือกับต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนทักษะและองค์ความรู้ ควบคู่ไปกับการรักษาอัตลักษณ์และการมีส่วนร่วมของชุมชนได้อย่างสมดุล

เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกในหลากหลายมิติ

นางสาวอิ่มหทัย กันจินะ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เชียงใหม่ ให้ข้อมูลว่าเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม “ตลอดการเดินทางร่วม 1 ทศวรรษที่ผ่านมา เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่เมืองเชียงใหม่ โดยเทศกาลฯ ได้ปลุกกระแสความตื่นตัวให้ผู้คนในภูมิภาคเล็งเห็นความสำคัญของงานสร้างสรรค์ และการประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชน เทศกาลฯ ยังเป็นเหมือนหมุดหมายใหม่ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าใจว่าการท่องเที่ยวเชียงใหม่ไม่ได้จำกัดแค่การท่องเที่ยวตามสถานที่ทั่วไป แต่ยังรวมถึงการท่องเที่ยวในพื้นที่สร้างสรรค์ด้วย ปัจจุบันเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่เปรียบเสมือน ‘ยานแม่’ ของงานสร้างสรรค์ประจำปี ที่ดึงดูดให้งานและกิจกรรมอื่น ๆ ในจังหวัดปรับตัวจัดงานในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้ภาพรวมของเมืองเชียงใหม่เต็มเปี่ยมด้วยพลังสร้างสรรค์และกิจกรรมที่หลากหลาย และนักท่องเที่ยวก็ได้ประโยชน์จากการสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษไปด้วย”

“เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ยังได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมเทศกาลฯ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ซึ่งมาจากหลากหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน และประเทศในยุโรปและอเมริกา ตลอด 9 ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,022,869 คน และจากการเก็บข้อมูลในปี 2018 - 2023 เทศกาลฯ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ภาคเหนือ รวมกว่า 5,361.56 ล้านบาท ทั้งยังช่วยฟื้นชีวิตให้อาคารเก่าทั่วเมืองผ่านการดึงดูดนักลงทุน ให้มาพัฒนาพื้นที่ปรับปรุงอาคารเหล่านั้นให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ส่งผลให้เทศกาลฯ กลายเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่อย่างสร้างสรรค์”

“นอกจากนี้เทศกาลฯ ยังได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญในการเชื่อมโยงศิลปะข้ามศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่นักออกแบบหัตถกรรมกับเชฟรุ่นใหม่ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และสร้างคุณค่าใหม่ให้เกิดขึ้น เช่น โครงการ Homecoming Creator ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งดึงดูดนักสร้างสรรค์กลับสู่บ้านเกิดในพื้นที่และเชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับชุมชนมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เทศกาลฯ ยังได้เชิญศิลปินแจ๊สระดับโลกอย่างอิกอร์ บุตแมน มาร่วมแสดงในงาน Chiang Mai Street Jazz Festival เพื่อแบ่งปันความรู้ด้านดนตรีแจ๊สแก่ศิลปินท้องถิ่น นับเป็นการส่งเสริมให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางดนตรีแจ๊สที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ ทั้งหมดนี้ดำเนินการควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปี” 

นางสาวอิ่มหทัยกล่าวเสริมว่า “เทศกาลฯ ได้ยึดมั่นในการดำเนินกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เราเน้นการ ‘ทำให้ดู’ มากกว่าการ ‘สั่งให้ทำ’ โดยตั้งแต่ปีแรกของเทศกาลฯ เราให้ไอเดียนักสร้างสรรค์และสถาปนิกออกแบบพาวิลเลียนนิทรรศการที่สามารถดัดแปลงใช้ซ้ำได้ต่อเนื่อง หลังจากผ่านมาเป็นปีที่ 10 พาวิลเลียนทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์จากปีแรกทั้งสิ้น ส่วนป้ายให้ข้อมูลเทศกาลฯ ก็นำกลับมาใช้ซ้ำทุกปี โดยปีนี้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำป้ายมากกว่า 95% มาเป็นฟิวเจอร์บอร์ดและกระดาษลัง แทนการใช้โฟมบอร์ด โดยหลังจบเทศกาลฯ สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้” 

“อีกทั้งเรายังใช้สื่อออนไลน์และดิจิทัลแทนการใช้สิ่งพิมพ์ มีการใช้จอ LED โซลาร์เซลล์ และจากปี 2020 ที่มีการผลิตแผ่นพับเทศกาลฯ 30,000 ฉบับและสูจิบัตร 150 เล่ม เราปรับลดจำนวนอย่างต่อเนื่อง และปี 2024 ผลิตเพียง 20,000 ฉบับ ซึ่งลดลงไป 30% และมีการใช้กระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีการใช้รถรางไฟฟ้า Shuttle Bus พื้นที่ของการจัดงานยังถูกออกแบบให้สามารถเดินเท้าถึงกันได้ รวมถึงมีจักรยานให้บริการจาก บริษัท เอนี่วีล จำกัด ที่ส่งเสริมให้ชุมชนหันมาใช้จักรยาน ทางด้านผู้ประกอบการภายในเทศกาลฯ เราจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้และทางเลือกวัสดุ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกิดการเรียนรู้ในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และปรับตัวเพื่อปูทางสู่การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต”

เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 ภายใต้แนวคิด “SCALING LOCAL: Creativity, Technology, And Sustainability - For Reviving Recovery” พลิกโฉมท้องถิ่นสู่สากลด้วยความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และความยั่งยืน 

เทศกาลฯ ปีนี้มุ่งเน้นการต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรในชุมชนสู่ผลลัพธ์ระดับโลก โดยยังให้ความสำคัญต่อพื้นที่ชุมชนที่สามารถโอบรับผู้คนและทำให้ทุกคนอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ “ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เติบโตมากในเชียงใหม่ ทำให้เห็นถึงศักยภาพของสินทรัพย์ที่มีในชุมชน รวมทั้งนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นซึ่งได้รับการพัฒนาในหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นการจะ SCALING LOCAL ให้ไปสู่ระดับเวทีนานาชาติได้ นอกจากการมี Creativity แล้ว ยังต้องอาศัยการต่อยอดด้วย Technology และ Sustainability ซึ่งทั้งหมดเป็น 3 เสาหลักในการ ‘สร้างมาตรฐาน’ ของการจัดเทศกาลทั้งในประเทศและระดับโลก ปีนี้เทศกาลฯ ยังได้ต้อนรับนักสร้างสรรค์จากพื้นที่อื่นทางภาคเหนือ เช่น แพร่ น่าน ลำปาง และสุโขทัย ซึ่งล้วนเป็นดอกผลของการจัดกิจกรรมตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ที่ช่วยดึงดูดนักสร้างสรรค์จากพื้นที่อื่นได้” นางสาวอิ่มหทัยกล่าวเสริม

สำหรับเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 นำเสนอกิจกรรม 6 รูปแบบกว่า 150 โปรแกรม โดยไฮไลต์ที่น่าสนใจ ได้แก่

  • นิทรรศการ Lanna Gastronomy Tourism Economy เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงอาหารล้านนาด้วยแนวทางยั่งยืน ตั้งแต่การใช้วัตถุดิบ การทำอาหาร ไปจนถึงการสร้างรายได้ให้ชุมชน
  • นิทรรศการ แก่ ดี มีสุข (Ready Set Old) พาไปสำรวจความเป็นไปได้ของเมืองเชียงใหม่ กับโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเมืองที่มีไลฟ์สไตล์บลูโซนของผู้สูงอายุ ลำดับที่ 7 ของโลก ที่ผู้คนมีชีวิตยืนยาว ต่อจากโอกินาวา ญี่ปุ่น, ซาร์ดิเนีย อิตาลี, นิโคยา คอสตาริกา, อิคาเรีย กรีซ, โลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ โดยนำเสนอการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การสร้างสภาพแวดล้อมแห่งอนาคตสำหรับผู้คนสูงวัย
  • นิทรรศการ Super Slow ชวนดื่มด่ำกับความงามแห่งความเนิบช้า ผ่านผลงานศิลปะที่แปลกใหม่ ที่นำเสนอแนวทางการสร้างสรรค์และการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและใส่ใจมากขึ้นในโลกอันแสนเร่งรีบ
  • นิทรรศการ Floral Wonders นำเสนอศักยภาพอุตสาหกรรมดอกไม้ท้องถิ่นผ่านความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี ที่ช่วยสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • LABB.Fest 2024 การแสดงดนตรีสด และ Live Performance ที่ผสมผสานศิลปินไทยและต่างชาติ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนผลงานสร้างสรรค์ระหว่างศิลปินกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดนตรีของภาคเหนือ และเหล่าโปรโมเตอร์จากหลากหลายประเทศ ทั้งไทย มาเลเซีย เมียนมา ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ 

ก้าวต่อไปของ “เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่” สู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน

สำหรับเป้าหมายนับจากนี้ของเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ คือการผลักดันเทศกาลให้โด่งดังและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น โดยเน้นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ, ศิลปิน, ผู้ประกอบการ และภาคีเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการรักษามาตรฐานระดับสูงของเทศกาลฯ ควบคู่ไปกับการพัฒนาตามเทรนด์และบริบทของเมือง เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ผู้เข้าร่วมงานและนักท่องเที่ยว ทั้งยังคงความน่าสนใจให้แก่นักลงทุนและผู้สนับสนุนในอนาคต

“เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่กำลังก้าวสู่มาตรฐานใหม่ ที่ไม่ได้เน้นเพียงความสวยงาม แต่ต้องผสมผสานความสร้างสรรค์เข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างบรรทัดฐานในการจัดเทศกาลสร้างสรรค์ในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ เชียงรายและพิษณุโลก ซึ่งพัฒนาองค์ความรู้จากเทศกาลฯ ผ่านนักออกแบบและศิลปินที่เข้าร่วมงาน โดยได้รับการสนับสนุนจาก CEA เชียงใหม่ นอกจากนี้ในอนาคต การจัดเทศกาลฯ จะลดความสนใจเรื่องจำนวนของผู้ชมลง แต่เน้นการดึงดูดผู้ชมที่สามารถมีส่วนร่วมกับงานอย่างแท้จริง รวมถึงผู้ที่สามารถนำไอเดียในงานไปต่อยอดได้”

“ภาพฝันที่เราหวังไว้คือการทำให้เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่โด่งดังและเติบโตไปในแบบที่เมืองสามารถโตตามทันได้ทั้งองคาพยพ ปัจจุบันเทศกาลฯ ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของเครือข่าย World Design Weeks ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพที่โตมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่การก้าวสู่เวทีระดับโลกได้อย่างมั่นคง เราต้องสร้างมาตรฐานของกิจกรรมที่ตอบโจทย์ระดับสากล สร้างความแข็งแกร่งของเครือข่าย และขยายการประชาสัมพันธ์ที่ไปถึงทั่วโลก รวมทั้งการทำให้ผู้คน ‘อิน’ และสัมผัสได้ถึงความสำคัญของงานออกแบบสร้างสรรค์ หากทั้งหมดนี้สำเร็จจะสร้างเอกลักษณ์ได้เหมือนกับ Milan Design Week ที่สามารถดึงดูดนักลงทุนเข้ามาได้ 100%”